Offset หรือการพิมพ์พื้นราบมีต้นกำเนิดจากการพิมพ์ด้วยการค้นพบของอลัวส์เซเนเฟลเดอร์ (Alois Senefelder) ด้วยการใช้แท่งไขมันเขียนลงบนแผ่นหินขัดเรียบใช้น้ำบางๆ หรือความเปียกชื้นลงไปคลุมพื้นที่ ซึ่งไม่ต้องการให้เกิดภาพก่อนแล้วจึงคลึงหมึกตามลงไปไขมันที่เขียนเป็นภาพจะรับหมึกและผลักดันน้ำและน้ำก็ผลักดันหมึกมิให้ปนกัน เมื่อนำกระดาษไปทาบและใช้น้ำหนักกดพิมพ์พอควรกระดาษนั้นจะรับและถ่ายโอนหมึกที่เป็นภาพจากแผ่นหิน
ปัจจุบันการพิมพ์พื้นราบที่รู้จักกันในนามพิมพ์หินได้ พัฒนาจากการใช้คนดึงแผ่นหินที่หนาและหนักกลับไปกลับมาเพื่อทำการพิมพ์ได้ชั่วโมงละไม่กี่แผ่นได้มีความเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับ จากการใช้แรงคนเป็นเครื่องจักรไอน้ำและจากเครื่องจักรไอน้ำเป็นเครื่องยนต์ พร้อมกับเปลี่ยนลักษณะของแผ่นภาพพิมพ์จากหินเป็นโลหะที่บางเบาสามารถโค้งโอบรอบไม่ได้และได้ใช้เป็นผืนผ้ายาง (rubber printing) กระดาษหรือวัสดุพิมพ์จะไม่สัมผัสกับแม่พิมพ้์ (plate cylinder) โดยตรง แต่จะอยู่ในระหว่างโมผ้ายาง (blandet cylinder) กับโมกดพิมพ์ (imoression cylinder)
ชื่อของวิธีนี้เคยเรียกเมื่อเริ่มแรกว่า “ลิโธกราฟี” (Lithography) อันเป็นภาษากรีกที่มีความหมายว่าเขียนบนหินได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมคำว่า เซตออฟ (set-off) หรือ “ออฟเซต” (offset) ซึ่งหมายถึง การพิมพ์ได้รับหมึกจากแม่พิมพ์ไปหมดแต่ละแผ่นแล้วเตรียมรับหมึกพิมพ์ในแผ่นต่อไปชื่อของวิธีพิมพ์นี้
จึงเรียกว่า “ออฟเซตลิโธกราฟี” (offset lithography) ในปัจจุบันสามารถพิมพ์ลงบนวัสดุพิมพ์หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นกระดาษผิวหยาบพลาสติกผ้าแพรหรือแผ่นโลหะ
สิ่งพิมพ์ที่เหมาะกับ Offset
ระบบออฟเซต เป็นระบบการพิมพ์ที่ใช้กันมากที่สุดทั่วโลกในปัจจุบัน เพราะให้งานพิมพ์ที่สวยงามมีความคล่องตัวในการจัดอาร์ตเวิร์กและไม่ว่าจะออกแบบอย่างไรการพิมพ์ก็ไม่ยุ่งยากมากจนเกินไป ประกอบกับความก้าวหน้าในการทำฟิล์มและการแยกสีในปัจจุบันทำให้ยิ่งพิมพ์จำนวนมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งถูกลง
สิ่งพิมพ์ที่จะพิมพ์ด้วยระบบออฟเซตควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. สิ่งพิมพ์ที่เหมาะกับการพิมพ์ Offset
2. มีจำนวนพิมพ์ตั้งแต่ 3,000 ชุดขึ้นไป
3. มีภาพประกอบหรืองานประเภทกราฟมาก
4. ต้องการความรวดเร็วในการจัดพิมพ์
5. ต้องการความประณีตสวยงาม
6. เป็นการพิมพ์หลายสีหรือภาพสี่สีที่ต้องการความสวยงามมากๆ
7. มีงานอาร์ตเวิร์กที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนมาก
8. มีงบประมาณในการจัดพิมพ์เพียงพอ